อ.มอ ดัง!ฟันธง “ก้าวไกล” แรงเกินต้าน คะแนนนิยมพุ่งไม่หยุด กระสุนจะแพ้กะแส
อ.ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มข. ชี้คะแนนนิยมก้าวไกล ยังพุ่งแรงต่อเนื่อง จนหยุดไม่อยู่ ยอมรับ ส.ส.เขต ปาร์ตี้ลิสต์ ยังเป็นรองเพื่อไทย คาด 2 พรรคได้ 300 เสียงขึ้น หากถ้าจับมือกัน สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้
วันนี้ 5 พ.ค.2566 ที่ ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) อ.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ออกมาเปิดเผยต่อกรณี กระแส กรณีพรรคก้าวไกลมีคะแนนนิยม สวนกระแส แรงขึ้น อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่โพลดังหลายสำนัก ผลสำรวจ ประชาชนให้ พิธา นั่งนายกรัฐมนตรี ชี้ มีวิสัยทัศน์ ด้าน “ประยุทธ์” คะแนนนิยมร่วง อุ๊งอิ๊ง ตามมาติด ๆ ระบุ พลังประชารัฐ คะแนนตกด้วย
อ.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เปิดเผยว่าตอนนี้ต้องยอมรับความจริงว่ากระแสของก้าวไกลมาแรง พูดง่ายๆว่ามาแรงเกินต้าน จากการดูจากโพลของสำนักต่างๆ โดยเฉพาะโพลของสถาบันการศึกษาหลายสถาบันการศึกษาที่น่าเชื่อถือ สาเหตุที่มาแรงคิดว่ามาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ประการแรกคือ ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลงของผู้นำ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากผู้นำรัฐบาลของเรา อยู่ในอำนาจมายาวนาน การที่อยู่ในอำนาจมายาวนาน ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วเกิดความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนแปลง อยากจะเปลี่ยนแปลงหาผู้นำใหม่
โดยเฉพาะผู้นำของเรา ปัจจุบันเป็นผู้นำซึ่งมาจากรัฐบาลทหาร รัฐบาลทหารจะมักจะตกเป็นเป้าถูกโจมตีเสมอ เพราะว่ารัฐบาลทหารมันสะท้อนถึง ในสายตาของสังคม เพราะสะท้อนถึงความเป็นเผด็จการ เราดูผู้นำตัวอย่างของเรา ก็คือลุงตู่ ลุงตู่ลักษณะของเขาจะมีการใช้อำนาจ และมีอารมณ์ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เมื่อเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายหนึ่งคือทางก้าวไกล ซึ่งผู้นำของเขาเป็นผู้นำรุ่นใหม่ เขาก็จะยอมรับความคิดเห็นเวลาเขาไปไหนมาไหนบางทีก็อาจจะถูกตะโกนด่า แต่เขาก็ยิ้มและพยายามอธิบาย แต่ว่าผู้นำที่มาจากทหาร ซึ่งมีเรื่องสะเทือนใจที่ฝ่ายรัฐบาลที่ยังคิดไม่ถึง ไปที่จังหวัดราชบุรี มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากแสดงความคิดเห็นต่างๆหรือตะโกนขึ้นมา แล้วก็ถูกปิดปาก อันนี้ก็จะมีความรู้สึก เปรียบว่า ผู้นำฝ่ายประชาไตย ซึ่งทำให้บ้านเห็นชัด ตรงนี้ก็ทำให้ผู้นำทหาร มีจุดเสื่อมขึ้นมา ในที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับเรื่องของกระแสโลกาภิวัตน์ กระแสโลกาภิวัตน์มาพร้อมกับกระแสเสรีนิยม กระแสของประชาไตย คนที่จะมาเป็นผู้นำได้จะต้อง ต้องมีความคิดแบบเสรีนิยม และแบบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นตรงนี้ ความต้องการของประชาชน อยากมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราดูในประวัติศาสตร์ การเมืองของไทย เราจะพบว่าผู้นำทหารเข้ามาสู่การเมือง และเข้ามาจัดตั้งพรรคการเมือง น้อยนักที่จะประสบผลสำเร็จ ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ นี่คือเหตุผลประการแรก ประชาชนต้องการความเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการผู้นำ ซึ่งสะท้อนว่า ประชาชนไม่ต้องการผู้นำทหารอีกต่อไป
ประการที่ 2 คือนโยบายของพรรคก้าวไกล รวมทั้งจุดยืนทางการเมือง และอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาชัดเจนมาก ในแง่ของเรื่องของจุดยืนหรืออุดมการณ์ทางการเมืองของเขา เวลาเขาไปดีเบตที่ไหน หรือปราศรัยที่ไหนจะบอกได้ว่า เป็นความชัดเจน ของตัวเขาเอง เช่นตัวอย่างที่เขาพูดบนเวทีหรือดีเบตที่ไหน หรือปราศรัยที่ไหนเขาจะบอกได้ว่า มีลุงต้องไม่มีเรา มีเราต้องไม่มีลุง อันนี้กับได้รับ ความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ทำให้กระแสพุ่งขึ้น
ในขณะที่พรรคซึ่งอยู่ในฝ่ายประชาไตยเหมือนกัน นโยบายไม่ชัดเจนในช่วงแรก และพึ่งมาหาทางแก้ลำในตอนนี้แต่ก็สายไปซะแล้ว ก็บอกว่าพรรคก้าวไกลเขาชัดเจน ส่วนเรื่องประกาศจุดยืนที่ไม่เอารัฐบาลทหาร ก็ชัดเจนมากกว่า ส่วนในเรื่องของนโยบาย ก้าวไกล จะสร้างความแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น นโยบายของก้าวไกล ที่เสนอนโยบาย ที่แตกกับโครงสร้างนำหน้า ซึ่งแตกกับโครงสร้างของสังคม ตัวอย่างเช่นให้มีความกระจายอำนาจ ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ปฏิรูปกองทัพ ขจัด การผูกขาดของธุรกิจเอกชน อันนี้เป็นสิ่งที่กระทบโครงสร้าง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการแก้ไขมาตรา 112
ซึ่งคนรุ่นหลังที่มองว่า คือพรรคก้าวไกลเขากล้า ทุกพรรคการเมืองเสนอนโยบายประชานิยมแข่งกัน ลดแลก แจกแถม ยิงถี่ยิงรัว แต่ไม่สามารถดึงดูดใจได้เท่ากับพรรคการเมือง ก็คือพรรคก้าวไกล ที่เสนอนโยบายที่มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจน ปรากฏว่านโยบายประชานิยมต่างๆที่ลดแลก แจกแถม เพิ่มเงินเดือน เพิ่มค่าจ้างอะไรต่างๆให้เงิน 10,000 บาทต่อเดือนอะไรต่างๆ จะสู้พรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนคือก้าวไกลก็คือมีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง สิ่งนี้ทำให้คนเห็นความกล้าของก้าวไกล และกระแสก็พุ่งประการที่ 3 คิดว่าก้าวไกลเขายึดครองสื่อทางออนไลน์ สื่อทางโซเชียลมีเดีย หรือพูดภาษาที่ทางสื่อสื่อก็เรียกคือเขาชนะในสงครามแอร์วอร์ ก็คือสงครามในโลกข้อมูลข่าวสาร และสงครามในโลกออนไลน์ เขาชนะและมีผล เขาสามารถกวาดต้อน กวาดต้อนประชากรได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18-40 ปี ประชากร 18 – 40 ปี คนเหล่านี้เล่นสื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย ซึ่งมีประมาณ 17 ล้านคน มากกว่า 40 ปีก็มีอีกกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าไม่มาก เท่ากับในช่วง 18 – 40 ปี แต่17 ล้านคนที่กวาดต้อนได้ค่อนข้างสนิท นอกจากนั้น 50 – 60 ปี ก็จะกระจายที่จะลงให้ ก้าวไกล
แต่ในภาพรวมก้าวไกลได้ แต่ไม่เพียงแค่นี้ เด็กประถม เพราะเด็กประถมเล่นสื่อออนไลน์ เด็กประถมก็รับรู้เรื่องก้าวไกล รู้เท่าทันผู้ใหญ่ และกับกลายว่าเด็กประถมไปชักชวน พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา และตายาย ให้ลงคะแนนช่วยก้าวไกล ทุกคนกลายเป็นหัวคะแนนหมดเลย ตั้งแต่ฟันน้ำนมจนถึงฟันปลอม อันนี้เป็นกระแส พอรักหรือชอบก้าวไกล ทำหน้าที่เป็นหัวคะแนนโดยธรรมชาติ เขามีหัวข้อเดิมโดยธรรมชาติโดยไม่ต้องมีการจ้างไม่ต้องมีหัวคะแนนมาให้จ้างตามหมู่บ้าน แต่เป็น มีหัวคะแนนโดยธรรมชาติ เกิดมาจากความคิดอิสระ และความพอใจ ก็เหมือนจากอาจารย์ชัชชาติ ที่ชนะคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แบบถล่มทลาย คนที่สมัครใจเป็นหัวคะแนนให้ประมาณ 20,000 กว่าคน ก้าวไกลก็เหมือนกัน แต่คนที่สมัครใจเป็นหัวคะแนนให้เป็นแสนมากกว่าคน อีกหลายสิบเท่าทั่วประเทศ
เพราะฉะนั้นจึงเป็นกระแสที่แรง กระแสเอาก้าวไกล ซึ่งมีในความหมายว่า เมื่อเลือกก้าวไกล ก็คือเขาปฏิเสธ 2 ป. และ 2 ลุง คิดว่าเวลานี้ รัฐบาลทหารใกล้ถึงจุดจบ คำว่าใกล้ถึงจุดจบ ณ ที่นี้ หมดความชอบธรรมแล้ว ในทางการเมืองหมดความชอบธรรมในทางการเมืองก็คือการที่ประชาชนยอมรับเริ่มหมดแล้ว ถ้าเขายอมรับตัวเอง
ใน อีก1 อาทิตย์ ในความคิดของตนเอง ก้าวไกลจะทะยานขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าในภาพรวม ทั้งประเทศ ส.ส.เขต พรรคเพื่อไทยยังนำอยู่ เพื่อไทย ได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำ ส่วนมากได้จากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคอีสาน แต่ว่าคะแนนปาร์ตี้ลิส คิดว่าก้าวไกลน่าจะชนะ และก้าวไกลจะชนะในตัวเมือง ดังนั้นจะประมาทไม่ได้เพราะกระแสแรงจริง เช่นในเขตเมืองหลักๆ ของอำเภอเมือง อย่างเช่นกรุงเทพฯ ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม กระแสนักศึกษา แม้ว่าเปิดเทอม แต่ก็ได้กระจัดกระจายไปตามหมู่บ้าน ก็มีการทำงานเหมือนเดิมเพราะฉะนั้น คะแนนไม่ได้หายไปไหน คะแนนปาร์ตี้ลิสก็จะได้ ส่วนใหญ่นักศึกษาอยู่ ที่บ้าน ถึงจะอยู่บ้าน แต่ก็สามารถทำงานที่บ้านได้ พอจะไปลงคะแนน ก็ไปลงคะแนนที่บ้าน รวมก็จะได้คะแนนปาร์ตี้ลิส แต่ยังสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพื่อไทยจะมีฐานอยู่ในภาคอีสาน
ตามกระแสของนิดาโพล คะแนนพรรคก้าวไกลในภาคใต้ กลับพรรครวมไทยสร้างชาติ สูสีกัน นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดถึง คิดว่าเป็นเรื่องแผ่นดินสั่นไหว ในภาคใต้จะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ความเสื่อมนิยมในพรรคแนวอนุรักษ์ในภาคใต้ ภาคใต้เป็นพื้นที่เดียวที่ผู้คน มีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม เป็นจำนวนมากและก็พรรคของลุงตู่ ลุงป้อม และก็พรรค ประชาธิปัตย์ ก็อยู่ตรงนั้นดูแล้ว ไม่กล้าขึ้นมาตรงอื่น นี่คือแผ่นดินไหวที่จะเกิดขึ้นในภาคใต้ และหน่อชิ้นนี้จะเติมเต็ม เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในที่จังหวัดใหญ่ๆเช่น จังหวัด สงขลา โดยเฉพาะเขตอำเภอหาดใหญ่ และจังหวัดภูเก็ตแผ่นดินไหวไม่แน่นะ ที่จะแทรกขึ้นมา และอีกที่ว่าอีก 4 ปี ข้างหน้าจะเป็นหนึ่ง และจะเป็นไปได้ เพราะ ทุก 4 ปีการเลือกตั้งจะมีคนรุ่นใหม่ 4-5 ล้านต่อครั้ง ซึ่งเป็นไปได้มาก แผ่นดินไหวทางการเมือง
มีโอกาสในทางการเมืองเพื่อไทยมีโอกาสจับมือก้าวไกลได้โดยส่วนตัวของผมให้แค่ก้าวไกลกับเพื่อไทยซึ่งเป็นไปได้จับมือแค่ 2 พรรคในสิ่งที่ 300 อันนี้ก็มีความชอบธรรมอย่างมาก แล้วไม่จำเป็นต้องถึง 376 ตามที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ แต่ไม่ว่าเพราะว่าเขาเกินอยู่แล้ว หากถ้าดูเสียงในสภาเสียงของส.ส.เฉพาะ ส.ส. 500 คน 2 พรรคนี้รวมกันถ้าเกิน 250-300 ถือว่ามีความชอบธรรมอย่างมาก แล้วก็ถ้ารัฐบาลทหารไม่ยอมนี่มันสุ่มเสี่ยงจะนำประเทศไปสู่กลียุค มีความชอบธรรมอย่างมากเลยไม่ต้องถึง 376 ส.ว. ถ้าคุณไม่ฟังเสียงประชาชน ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่ ส.ว.นั่นแหละปัญหาอยู่ที่ส.ว. 250 ไม่โหวตให้ตอนนี้จะอยู่ที่ส.ว.จะกลายเป็นจำเลยของสังคม และในที่สุดรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปมันจะไม่มี ส.ว.อยู่ในรัฐธรรมนูญแล้วคนจะออกมากดดัน เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์แล้วมันขัดขวางกระบวนการพัฒนาประเทศชาติแต่ต้องทำเพราะว่านายเป็นคนตั้งให้มานายก็คือทหารก็พอแล้ว .