ขอนแก่น ขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำ แก้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งแบบบูรณาการ
ผู้ว่าฯขอนแก่นยืนยันว่า จังหวัดขอนแก่นไม่ได้แล้ง เพียงแต่ขาดในเรื่องของการบริหารจัดการ ขาดการหาสถานที่ให้น้ำอยู่ เมื่อสามารถ ทำได้ตามแผนที่วางไว้จะส่งผลต่อความเจริญอย่างยั่งยืนของจังหวัดขอนแก่น ได้แน่นอน
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ บริเวณท่าสูบน้ำท่าหนองแดง บ้านท่านางแนวหมู่ 2 ตำบลท่านางแนว อำเภอแวงน้อย จังหวัดขอนแก่น นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานการแถลงข่าว การขับเคลื่อนวาระจังหวัดขอนแก่นเรื่องการจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของจังหวัดขอนแก่นแบบบูรณาการ โดยมี ผศ.ดร. โพยม สราภิรมย์ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรน้ำใต้ดิน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แถลงถึงสถานการณ์น้ำในจังหวัดขอนแก่น มาตรการป้องกัน ผลลัพธ์ ผลกระทบ ในการจัดทำแผน, พระโสภณพัฒนบัณฑิต รศ. ดร.รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ม.) แถลงถึงความพร้อมในการสนับสนุนของภาคศาสนา, ดร.ทวีสันต์ วิชัยวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น แถลงถึงความพร้อมในการสนับสนุนของภาคเอกชน โดยมี นายอำเภอทั้ง 26 อำเภอ ,พ.อ.สุรพงษ์ ยอดอินทร์ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดขอนแก่น มอบหมายให้ พ.อ.ณัฐพงศ์ กฤติธำรง หัวหน้าฝ่ายนโยบายแผน และ การข่าว กอ.รมน.จังหวัดขอนแก่น ส่วนราชการ ภาครัฐ เอกชน และสื่อมวลชน ร่วมรับฟังการแถลงข่าว
นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยถึง การประกาศเรื่องน้ำเป็นวาระจังหวัดขอนแก่น ว่า สืบเนื่องจากการที่มีข้อมูลจากหลายแห่งโดยเฉพาะนักวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่า ขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งจะรุนแรงถึงขั้น Super เอลนีโญ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสภาวะแล้งติดต่อกัน 3-5 ปี ดังนั้น จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีน้ำโดยเฉพาะน้ำท่า ปีละ 3,000 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งไหลมาจากจังหวัดชัยภูมิ เลย เพชรบูรณ์ อีกประมาณ 3,000 กว่าล้าน รวมเป็น 6,000 กว่าล้าน แต่สามารถจัดเก็บน้ำไว้ในพื้นที่ได้ ประมาณ 2,800 ล้านลูกบาศก์เมตร จึงต้องหาวิธีบริหารจัดการน้ำโดยบริหารจัดการร่วมกันทั้งคณะสงฆ์ ภาคเอกชน หอการค้าสภาอุตสาหกรรม ที่จะช่วยกัน ในการเตรียมรับมือกับภาวะ เอลนีโญ ที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะน้ำคือชีวิต หากขาดน้ำจะส่งผลกระทบทั้งในเรื่องของการลงทุน การท่องเที่ยว เรื่องของการลงทุน เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ทุกระบบ ซึ่งเรื่องน้ำถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งตัวอย่างที่นำเสนอในครั้งนี้ คือ การสร้างฝายแกนดินเหนียว ที่สามารถทำได้ ในระยะเวลาอันสั้นและมีต้นทุนไม่มากนัก สามารถทำได้ในระยะเวลาจำกัดเพียง 1 สัปดาห์ ที่จะกักเก็บน้ำได้ถึง 900,000 ลบ.ม. คิดเป็นต้นทุนโดยเฉลี่ย 3 สตางค์/ลบ.ม. ซึ่งถือว่ามีความคุ้มค่าในแง่ของการลงทุน ซึ่งเมื่อมีน้ำแล้วจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อพืช คน สัตว์ สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะในเรื่องสภาพจิตใจของพี่น้องประชาชน
นอกจากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ยังได้เปิดเผยถึงการพยากรณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นด้วยว่า จากข้อมูลสถิติตัวเลขปริมาณฝนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง คือ มีค่าเฉลี่ยฝนในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปกติ จะอยู่ที่ 158 มม. แต่ในปี 2566 ช่วง 4 เดือน มีปริมาณฝนตกเพียง 91 มม. ซึ่งพายุฤดูร้อนในช่วงที่ผ่านมาจะมีเพียงลม แต่ไม่มีฝน และพายุที่ทำให้เกิดฝนตกล่าสุดคือ โมค่า เท่านั้น ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่มีฝนตกน้อยและได้ปริมาณน้ำน้อย หรือการเกิดสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน และมีปริมาณฝนไม่มาก เมื่อฝนมาต้องรีบกักเก็บน้ำ โดยต่อจากนี้ไปเมื่อมีน้ำมาในปริมาณมาก จะต้องรีบจัดเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด หรือเมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมก็จะท่วมในปริมาณที่ไม่มาก เป็นการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ป่าต้นน้ำ การมีฝายชะลอน้ำบนเขา ตามลำห้วยต่างๆ ต้องมีฝายขั้นบันได การมีแหล่งน้ำสำรอง แหล่งน้ำของทางราชการ เช่น ชลประทาน ที่มีสภาพตื้นเขิน จะดำเนินการจัดการอย่างไร ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการโดยบูรณาการทุกภาคส่วน ในทุกมิติ ทั้งน้ำฝน น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน ที่จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย รวมถึงคณะสงฆ์และภาคเอกชน เพื่อที่จะทำให้เกิดความมั่นคงของน้ำในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นได้
“ยืนยันว่า จังหวัดขอนแก่นไม่ได้แล้ง เพียงแต่ขาดในเรื่องของการบริหารจัดการ ขาดการหาสถานที่ให้น้ำอยู่ เมื่อสามารถ ทำได้ตามแผนที่วางไว้จะส่งผลต่อความเจริญอย่างยั่งยืนของจังหวัดขอนแก่น ได้แน่นอน”นายไกรสร กล่าว
ด้าน พระโสภณพัฒนบัณฑิต รศ. ดร.รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น (ม.) กล่าวว่า ในส่วนของคณะสงฆ์ ถือว่าเป็นพันธกิจที่สำคัญตอบสนองกับนโยบายของจังหวัด คืองานสาธารณูปการ และงานสาธารณสงเคราะห์ โดยได้จัดทำผ้าป่าสมทบในการจัดทำฝายกั้นน้ำ เช่นที่อำเภอแวงน้อย นี้ ซึ่งมีพื้นที่ติดแม่น้ำชี ในฤดูฝนจะเกิดน้ำท่วม ส่วนในฤดูแล้งจะเกิดความแห้งแล้งไม่สามารถเก็บกักน้ำในแม่น้ำชีไว้ใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาอำเภอแวงน้อย จึงได้ดำเนินการจัดสร้างฝายแกนดินแบบซอยซีเมนต์ บริเวณแม่น้ำชี จำนวน 2 จุด คือจุดที่ 1.บริเวณท่าสูบน้ำท่าหนองแดง และจุดที่ 2.ท่าสูบน้ำบ้านโนนเขวา โดยจุดที่ 1 ได้งบประมาณสนับสนุนจากจังหวัดขอนแก่น และอำเภอแวงน้อย คณะสงฆ์และญาติโยม ได้จัดทอดผ้าป่าสมทบ ทำให้เกิดความร่วมมือ ความเกื้อกูลของทุกฝ่าย ส่งผลให้โครงการสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อประชาชน โดยคณะสงฆ์ทั้ง 26 อำเภอ จะได้ให้การสนับสนุนภารกิจอันสำคัญนี้ร่วมกับจังหวัดขอนแก่นต่อไป.